แม้แต่คนที่อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ก็มีความสนใจในความเป็นเอกลักษณ์ของรูปร่างภาษาญี่ปุ่น โดยเฉพาะที่เป็นที่นิยมมากคือ "ฮิรางานะ"และ"คาตาคานะ"นั่นเอง "คันจิ"ที่ญี่ปุ่นรับมาจากประเทศจีนนั้น แม้แต่ประเทศไทยและประเทศที่มีการใช้ภาษาจีน ในเมืองที่มีคนเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เยอะก็สามารถเห็นได้ตามป้ายต่างๆ แต่"ฮิรางานะ"และ"คาตาคานะ"มีแค่เฉพาะภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งหากคนต่างชาติได้เห็น ก็จะรู้สึกว่ามันน่ารัก และดูน่าสนใจ
ในการเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น ก่อนอื่นก็จะต้องจำ"ฮิรางานะ" ซึ่งมีทั้งหมด50ตัว นอกจากนี้ก็มีการเติม「゜」( ฮันดาคุเตง)เครื่องหมายแสดงเสียงกึ่งขุ่น และ「゛」( ดะคุเตง)เครื่องหมายใช้เติมบนฮิรางานะหรือคาตะคานะ เพื่อเปลี่ยนให้เป็นเสียงขุ่น และถัดไปก็ต้องจำ"คาตาคานะ" 50ตัว เพราะ"ฮิรางานะ"และ"คาตาคานะ"เป็นตัวอักษรที่รองซึ่งกันและกันแบบหนึ่งต่อหนึ่งทั้งหมด จึงต่างกันแค่รูปร่าง แต่การออกเสียงเหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่น คำว่า「แอปเปิล」ก็คือแอปเปิลในภาษาไทย หรือเขียนเป็นอัลฟาเบ็ตได้ว่า「apple」 แต่ที่ญี่ปุ่นสามารถเขียนได้ถึง4แบบคือ 「りんご」「リンゴ」「林檎」「apple」
ภาษาญี่ปุ่นสมัยก่อนนั้นยังไม่มีตัวอักษร ด้วยเหตุนี้ เมื่อคันจิที่ถูกใช้เป็นภาษาจีน ถ่ายทอดเข้ามาในญี่ปุ่น จึงถูกนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับภาษาญี่ปุ่น แต่คันจิมีความซับซ้อนจึงเขียนยาก ดังนั้น จึงได้มีการย่อตัวคันจิ ผลลัพธ์นั้นคือ สิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาคือตัวอักษรที่ทำให้ง่ายขึ้นเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น ซึ่งเรียกว่า"มันโยงานะ" เพราะถูกใช้บ่อยใน"มันโยชู" ซึ่งเป็นหนังสือรวมบทกลอนญี่ปุ่นที่จัดทำเสร็จในปี795 จึงถูกเรียกเป็นชื่อนี้ ดังนั้นมันโยงานะจึงเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว มันโยงานะนี้จึงพัฒนาด้วยเป้าหมาย2สิ่ง ในสมัยเฮอัน(ปี795-1185)
ศาสนาพุทธของญี่ปุ่นถ่ายทอดมาจากประเทศจีน เพราะเหตุนี้ คัมภีร์ศาสนาพุทธจึงเขียนด้วยคันจิ บรรดาพระสงฆ์ของญี่ปุ่นจะใช้มันโยงานะ ในการอ่านพระสูตรศาสนาพุทธซึ่งถูกเขียนขึ้นด้วยคันจิที่เข้ามาจากประเทศจีน ซึ่งก็ได้ถูกขัดเกลาจนกลายเป็น"คาตาคานะ"ในปัจจุบันนี้ "คาตาคานะ"เป็นตัวอักษรมีคุณค่าอย่างมาก เพื่อใช้ในการอ่านคัมภีร์
ในอีกด้านหนึ่ง "ฮิรางานะ"จะถูกใช้ในหนังสือส่วนตัวของพวกขุนนาง หรือหนังสือที่ผู้หญิงเขียน เหล่าขุนนางจะใช้คันจิสำหรับหนังสือที่เป็นทางการ และใช้"ฮิรางานะ"สำหรับกลอนวะคะและบันทึก "โทสะนิกขิ"ซึ่งเขียนโดยผู้หญิง และเกนจิโมโนกาตาริของมุราซากิชิคิบุก็เขียนด้วย"ฮิรางานะ" ด้วยเหุตนี้ ดูเหมือนว่า"ฮิรางานะ" ในสมัยนั้นจึงถูกเรียกว่า"อนนะเดะ"(ตัวอักษรที่ผู้หญิงเขียน)
ลักษณะเด่นของ"ฮิรางานะ" การหวัดรูปร่าง เพื่อในการเขียนตัวอักษรให้รวดเร็ว เหมือนกับการเขียนประโยคในภาษาอังกฤษ "ฮิรางานะ"ได้รับการประเมินว่าเป็นตัวอักษรที่เหมาะในการแสดงออกถึงภาษาญี่ปุ่น และยังถูกใช้ในประโยคที่เป็นทางการอีกด้วย นอกจากนี้ จากการที่ถูกใช้ในกลอนวะคะและนวนิยาย จึงให้บรรยากาศของความเป็นศิลปะควบคู่กันไปด้วย คนญี่ปุ่นจะมีความรู้สึกว่าการนำรูปร่างที่เขียนหวัดกับคันจิมารวมกันนั้นมีความงดงามมาก ด้วยเหตุนี้ การจะสามารถเขียนงานเขียนฮิรางานะและคันจิอย่างสวยสดงดงามได้นั้นจำเป็นที่จะต้องเป็นขุนนางและซามูไร นอกจากนี้ นักเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันก็จะสร้างสรรค์ผลงานในฐานะผลงานศิลปะตามด้วยความพึงพอใจ "ฮิรางานะ"สำหรับคนญี่ปุ่นแล้วถือเป็นสิ่งสำคัญในฐานะตัวอักษรที่สมควรรัก หากสามารถเขียนและอ่านฮิรางานะได้ ก็อยากให้ลองอ่านงานเขียนทางด้านศิลปะให้ได้ เพราะเป็นรูปแบบการเขียนจึงอ่านยาก แต่ก็ต้องมีตัวอักษรที่เข้าใจอยู่บ้างแน่ๆ ซึ่งดูเหมือนราวกับว่าได้โบยบินอยู่ในนั้น "ฮิรางานะ"เป็นตัวอักษรเชิงสัญลักษณ์ของความคิดเห็นอย่างอิสระ by Noboru
วิธีจำคันจิ(kanji) พื้นฐานคันจิที่ใช้เป็นประจำในภาษาญี่ปุ่นคือ คันจิ1945ตัวที่ใช้เป็นประจำ
วิธีจำคันจิ2--คันจิคือแผนภาพ ก่อนอื่นมาจำความหมายกันเถอะ
Tweet