เป็นเรื่องปกติที่เมื่อมีรักก็ต้องมีเลิก แต่ถ้าต้องเลิกคบกับคนที่ใช่แล้วละก็มักจะเกิดปัญหาตามมาอยู่บ่อยๆ ที่จริงแล้วเพื่อนของดิฉันเองก็เคยประสบกับเหตุการณ์นี้ค่ะ ไม่ตอบเมลล์ก็แล้ว ไม่รับโทรศัพท์ก็แล้ว แต่มาดักรออยู่ที่ทำงานเลย นั่นก็เพราะแฟนเก่าของเธอยังตัดใจไม่ได้นั่นเอง แล้วทำไงได้ล่ะคะ เราต้องรอจนกว่าอีกฝ่ายเขาจะตัดใจจากเราได้น่ะหรือ?
โดยพื้นฐานแล้ว การเกิดปัญหานี้น่าจะมีสาเหตุมาจากวิธีการเลิกก็เป็นได้ ซึ่งเคล็ดลับในการบอกเลิกก็มีอยู่มากมาย เช่น สิ่งที่ไม่ควรทำตอนที่เลิกกัน เป็นต้น
คุณฮายาโตะ โอดะ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยาและการแก้ปัญหาด้านความรัก ก็ได้บอกกับเราว่า การเลิกกันที่ไม่ดีมักจะเป็นสาเหตุของปัญหาต่างๆตามมา.. แล้วการเลิกแบบไหนที่เป็นการเลิกที่ไม่ดีกันล่ะเนี่ย
"วิธีที่อันตรายที่สุดและมักจะเป็นกันบ่อยที่สุดก็คือ การขาดการติดต่ออย่างกระทันหัน ผู้ที่ถูกตัดสัมพันธ์ก็ไม่ได้คิดว่ามีอะไร ยังคงรอเมลล์และโทรศัพท์จากอีกฝ่ายอยู่เหมือนเดิม แต่ในเมื่อไม่มีการตอบกลับมาจึงทำให้เขาคิดมากและกลายเป็นโรคจิตที่ต้องแอบมาด่อมๆมองๆที่ที่ทำงานของอีกฝ่ายหนึ่ง ท้ายที่สุดเขาก็จะส่งเมลล์อย่างบ้าคลั่งบ้างล่ะ โทรเข้ามาที่ที่ทำงานของเราหรือเข้ามาหาบ้างล่ะ ถึงแม้ว่าจะถูกบล๊อกเบอร์โทรศัพท์ไปแล้ว เขาก็จะโทรจากตู้สาธารณะหรือไม่ก็ใช้เบอร์โทรของเพื่อนโทรเข้ามา จนมันกลายเป็นพฤติกรรมที่น่ากลัวขึ้นมา" คุณโอดะพูด
ที่บอกว่าค่อยๆขาดการติดต่อไปก็เคยได้ยินมาอยู่เหมือนกัน แต่วิธีนั้นดูเหมือนว่าจะยิ่งเป็นการเพิ่มพฤติกรรมที่น่ากลัวของเขามากกว่า และสิ่งที่สำคัญเลยก็คือการพูดถึงเรื่องการเลิกอย่างระมัดระวังออกไปตรงๆ
"จู่ๆก็บอกเลิกแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาก็จะบอกว่า "งั้นบอกข้อเสียของผมมา ผมจะปรับปรุงมันให้ดีขึ้นนะ" แล้วเขาก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะไม่ให้เลิกกัน และ"ความพยายามเพื่อที่จะไม่ให้ต้องเลิกกัน"นี้เมื่อมองจากมุมของผู้หญิงแล้วจะรู้สึกว่าผู้ชายยึดติดมากและเป็นสิ่งที่น่ารำคาญสำหรับเธอ ยิ่งไปกว่านั้นการที่จบกันแบบไม่ค่อยดีนั้นก็มักจะเป็นวิธี "การบอกเลิกแบบที่ตัวเองสวยและดูดี" จะทำให้เค้าเสียดาย และคิดว่ายังไงก็ชอบคุณจริงๆ คงไปจากคุณไม่ได้ เพราะฉะนั้น คุณก็อย่ามาสนใจเขา และไม่ต้องดูดีเวลาอยู่ต่อหน้าเขา เพราะจะทำให้เขายิ่งไปจากคุณยากขึ้น"
"ก่อนที่จะเลิกกันควรจะทำให้เขารู้สึกว่า"เราสองคนไปกันไม่ได้"หรือ"รู้สึกอารมณ์เสีย หงุดหงิด"ไว้ก่อนก็ดี แล้วพอถึงตอนเลิกกันจริงๆถ้าเราบอกออกไปตรงๆอย่างเข้าใจและยอมรับว่า "ยังไงก็ไปกันไม่ได้อย่างที่คิดไว้จริงๆด้วยสินะ" ก็จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจและตัดใจได้ง่ายขึ้น การเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับเรื่องที่ผิดแปลกไปจากเดิมก็สำคัญเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น อาจจะทำเป็นว่าไม่รู้สึกว่าอยากจะมีเซ็กส์กันเลย อะไรประมาณนี้ หรืออาจจะแสร้งทำเป็นว่าไปชอบคนอื่นแล้ว จะทำให้การเลิกของเราสำเร็จไปได้ด้วยดี หรืออะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่มี "เหตุผล" จะทำให้ฝ่ายที่ถูกบอกเลิกเข้าใจและยอมรับได้ง่ายขึ้น"
โอ้โห เราต้องพูดอย่างงี้นี่เอง จะพูดอย่างไร้เหตุผลอย่าง "ทำไมไม่รู้แต่ไม่อยากอยู่กับเธอแล้ว" หรือ "อย่าถามเหตุผลเซ้าซี้ได้มั้ย"ไม่ได้นะ จำเอาไว้ๆ
ทีนี้ ถ้าเป็นกรณีที่จบกันไม่ค่อยสวย แล้วแฟนเก่าก็กลายร่างเป็นสโต๊คเกอร์ไปแล้ว เราจะรับมือหรือแก้ปัญหานี้ยังไงดีคะ คุณโอดะ เฮลพ์มีพลีสสสสสสสส
"ขั้นแรกเลย เราก็ติดต่อกับเค้าเต็มที่เลย วิธีการนี้ทำให้ผู้ชายยอมแพ้ไปหลายคนแล้ว ถ้ามันยังไม่ยอมอีก ก็คงจะต้องมีบุคคลที่สามเข้ามาไกล่เกลี่ย เพราะบุคคลที่สามจะสามารถบอกเขาว่า "การกระทำของคุณนั้นมันดูโรคจิต"ได้อย่างตรงไปตรงมา แต่ถ้ายังไม่สำเร็จอีก ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะเข้ามาจัดการตามกฎหมายแล้วล่ะ
แต่ถ้ามีคนรู้จักร่วมกัน ก็อาจจะขอร้องคนรู้จักให้เขาช่วยพาแฟนเก่าไปนัดบอร์ดที เพื่อที่จะให้เขาให้เลิกฟุ้งซ่านซะที และหากเขาได้ออกไปพบปะผู้คนบ้างก็จะทำให้แรงยึดติดที่เขามีต่อเรานั้นลดลง"
การป้องกันไม่ให้แฟนเก่ากลายเป็นสโต๊คเกอร์ สิ่งที่สำคัญสุดคือ การอย่าทำให้เค้ายึดติด ช่วงก่อนเลิกให้สร้างบรรยากาศหรือความรู้สึกที่บ่งบอกว่า"อยากจะเลิก" ช่วงที่ตัดสินใจบอกเลิกนั้นก็ให้บอกถึง"เหตุผลที่อยากเลิก"กับเขาอย่างชัดเจน และหลังจากที่เลิกกันไปแล้วแล้วเกิดปัญหา ให้จัดการหา"บุคคลที่สาม"มาช่วย ส่วนเรื่องที่ว่าหลังเลิกกันแล้วจะใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขและเกิดสันติภาพมั้ยนั้นขึ้นอยู่กับเทคนิคของฝ่ายที่เป็นคนบอกเลิกใช้นั่นเองแหละครับ!!
Tweet
