มีผู้ชายอยู่จำนวนไม่น้อยที่มักจะใช้มาตรการเมินเฉยเวลาที่ทะเลาะกับแฟนสาว ทำให้ผู้หญิงหลายคนถึงกับต้องปรี้ดแตกกับอาการเงียบเฉยไม่ตอบโต้ไปซะดื้อๆ เรามาดูกันว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไร
ถึงภายนอกจะดูเมินเฉย แต่แท้จริงแล้วเวลาที่ทะเลาะกันระดับการเต้นของหัวใจของฝ่ายชายจะเพิ่มขึ้นไปมากกว่าร้อย สารอะดรีนาลีนในร่างกายจะไหลออกมามาก การไหลเวียนของเลือดก็จะเร็วขึ้น และความดันเลือดจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรโดยใช้เหตุผลได้ดีเท่าไหร่นัก และเมื่อถูกกระตุ้นก็จะทำให้ภายในใจเกิดความขุ่นเคืองเช่น คอยดูนะเดี๋ยวจะเอาคืน หรือ พูดแบบนี้ทนไม่ไหวแล้วนะ ซึ่งถ้าผู้ชายเริ่มเข้าสู่โหมดอันตราย แล้วก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้
เมื่อผู้ชายเข้าสู่โหมดอันตราย ก็จะเริ่มไปจุดไฟของเลือดนักสู้ขึ้น แต่ผู้ชายส่วนใหญ่ก็มักจะสามารถควบคุมอารมณ์ของตนให้ลงมาก่อนที่จะถึงขีดสุดแล้วลงไม้ลงมือได้ โดยใช้วิธีเพิกเฉย ไม่พูดคุยด้วยไปก่อน
เพราะฉะนั้นหากฝ่ายชายเงียบเมื่อไรนั่นก็เป็นสัญญาณที่แสดงว่า ‘อันตราย ให้หยุดทะเลาะได้แล้ว’ จึงควรรอให้อารมณ์เย็นลงก่อนแล้วค่อยคุยกันใหม่อาจจะเป็นในวันถัดมา เพื่อความพอใจของทั้งสองฝ่าย
แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็รับไม่ได้เอาซะเลยกับการที่ถูกเพิกเฉยโดยเฉพาะระหว่างพูดคุยเรื่องสำคัญๆ เพราะสาวๆจะคิดไปว่าตนเองถูกปฏิเสธและไม่สามารถเปิดใจคุยกับฝ่ายชายได้ นั่นก็เพราะการเพิกเฉยเป็นทำให้ช่องว่างระหว่างทั้งสอง ดังนั้นก่อนที่เรื่องจะเลวร้ายถึงขั้นนั้น ทั้งสองจึงควรแก้ไขปัญหากันเสียก่อน
การบ่นหรืออาการไม่สบายใจของผู้หญิงที่ใช้คำพูดโจมตีก็สามารถทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าตนเองถูกปฏิเสธและต้องการที่จะเอาคืน แต่หากลองตั้งใจฟังดูจริงๆแล้ว ฝ่ายหญิงก็แค่อยากจะให้ฝ่ายชายรับฟังหรือต้องการให้ทำอะไรสักอย่างให้เท่านั้น เพราะฉะนั้นการใช้คำพูดของผู้หญิงก็ไม่ได้มีความหมายไปทางการพูดเพื่อแก้แค้นหรือเอาคืนอย่างเช่นการทะเลาะกันของเพื่อนๆผู้ชาย
ดังนั้นหากฝ่ายชายเริ่มที่จะรู้สึกว่าตนกำลังถูกตำหนิก็ไม่ควรรีบโต้ตอบ แต่ควรรอให้อารมณ์เย็นลงแล้วทำความเข้าใจถึงสิ่งที่ผู้หญิงต้องการจะสื่อถึงตน การพยายามทำความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญ หากเริ่มที่จะทะเลาะจนอารมณ์ร้อนแล้วก็อย่าลืมนึกถึงธรรมชาติของทั้งชายและหญิงที่ได้กล่าวไปนะคะ