Logo nipponnotsubo
ad head
header
หน้าแรก ความบันเทิง วัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์ สังคม เทคโนโลยี แฟชั่น ธุรกิจ

ลัทธิชินโตกับศาสนาพุทธ การผสมผสานทั้งสองศาสนานี้ในญี่ปุ่น

日本語版

การรวมชินโตและศาสนาพุทธเข้าด้วยกัน

ความเชื่อทางศาสนาของประเทศญี่ปุ่น เปลื่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ก่อนอื่นก็ขอย้อนความไปถึงเมื่อสมัยก่อน

ก่อนที่จะเกิดประเทศญี่ปุ่นขึ้นมานั้น ความเชื่อ ที่เกี่ยวกับพระเจ้าและศาสนาต่างๆนั้นยังเคยไม่เกิดขึ้น คนจะบูชาต่อปรากฏการณ์ต่างๆรอบๆตัวเช่น พลังเหนือธรรมชาติ หรือสิ่งที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ ในสมัยก่อนที่ญี่ปุ่นยังเป็นเกาะเล็กๆ ผู้คนยังเข้าไปไม่ถึงและยังไม่ได้เป็นที่รู้จัก เมื่อถึงเวลากลางคืนเมื่อไหร่ รอบๆก็จะมึดจนมองไม่เห็นและ ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แน่นอนว่า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็ยังมีน้อย จึงไม่สามารถอธิบายถึงปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้

ยาโอโยโรซุ โนะ คามิุผู้คนในสมัยก่อน เชื่อว่า เทพเจ้าเป็นผู้ดลบรรดาให้ฝนตก แดดออก และพระจันทร์ส่องแสง และยังเชื่ออีกว่า เทพเจ้าสิงสถิตอยู่ในสิ่งต่างๆ เช่น เทพเจ้าแห่งไฟ ,เทพเจ้าแห่งน้ำ,เทพเจ้าแห่งสายลมและเทพเจ้าแห่งภูเขา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ เรียกว่า "ยาโอโยโรซุ โนะ คามิ" เขียนเป็นตัวคันจิคือ 「八百万」ซึ่งความหมายคือ เทพเจ้ามีอยู่มากมายไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม คนญี่ปุ่นสมัยก่อนจึงให้ความเคารพและย่ำเกรง ต่อสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว


จุดสูงสุดของลัทธิชินโตคือจักรพรรดิ

ประเทศญี่ปุ่นสมัยก่อนนั้น อยู่อาศัยกันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งหมูบ้านเล็กๆ จากการต่อสู้และค่อยๆมีการรวมตัวกัน จนกลายเป็นหมู่บ้านใหญ่ๆขึ้น เรียกว่า "โกโซะคุ" และกลายมาเป็นกลุ่มการปกครองกันเองขึ้น

ชินโต ศาลเจ้าเมจิสำหรับเหล่า โกโซะคุทั้งหลาย ความเชื่อที่ว่า เทพเจ้าอาศัยอยู่ทุกหนแห่ง กลายเป็นอุปสรรคของการพัฒนาชุมชน แม้ว่าจะต้องตัดภูเขาเพื่อสร้างถนนให้พัฒนาก็ตาม ผู้คนก็กลัวว่า จะเป็นการทำให้"เทพเจ้าแห่งภูเขาพิโรธ"ได้ ทำให้การก่อสร้างไม่คืบหน้า ดังนั้นเพื่อให้การ ก่อสร้างดำเนินต่อไป พร้อมๆกับ ไม่ทำให้เทพเจ้าพิโรธ จึงได้สร้างศาลเจ้าขึ้นมา จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีศาลเจ้าอยู่ตามที่ต่างๆทั่วประเทศญี่ปุ่น

หลังจากนั้นในปีคริสตศักราช 701 ได้มีการบัญญัติกฏหมายชื่อว่า "ไดโฮริทสึเรียว"ขึ้น โดยมีการสถาปนาจักรพรรดิขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศได้สำเร็จ และบันทึกทางประวัติศาสตร์ชิ้นแรก"โคจิกิ" ในปีคริสตศักราช 712 ในปีคริสตศักราช 720 เกิดหนังสือที่ชื่อว่า "นิฮงโชกิ" ขึ้นเป็น บันทึกทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น เป็นบันทึกที่เล่าเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ความเชื่อต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจักรพรรดิคือตัวแทนลูกหลานของเทพเจ้า คนทั่วไปจึงต้องให้ความเคารพนับถือเสมือนเทพเจ้า

ศาลเจ้า ยาโอโยโรซุ โนะ คามิ ที่มีอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่นหรือที่เรียกว่า ชินโต สร้างเสร็จพร้อมๆกับการรวมประเทศญี่ปุ่นได้สำเร็จ

ชินโต ศาลเจ้าเมจิ

สำหรับจุดเด่นของลัทธิชินโตอย่างหนึ่งคือ ไม่มีหลักธรรมทางศาสนา เป็นเพียงแค่ความเชื่อในเทพเจ้า,ความกลัว และการบูชาเทพเจ้าเท่านั้น อีกทั้งยังมีเพียงเทศกาลและพิธีการเพื่อบูชาต่อเทพเจ้าเป็นธรรมเนียมต่อๆกันมาเท่านั้น

ในลัทธิชินโต ศาลเจ้าที่มีอยู่ตามทั่วประเทศจะมี เจ้าอาวาสและมิโกะเป็นผู้ดูแลศาลเจ้า ศาลเจ้านั้นจะต้องเป็นสถานที่ที่บริสุทธิ์เนื่องจากเทพเจ้าจะลงมาจากสวรรค์มาสถิตอยู่ ณ ศาลเจ้า


ศาสนาพุทธกับอิทธิพลที่แผ่ขยายไปอย่างกว้างขวาง

ศาสนาพุทุสิ่งที่กลายมาเป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวงสำหรับการนับถือลัทธิชินโตในญี่ปุ่น ก็คือ การนับถือศาสนาพุทธที่ถูกนำเข้ามาจากประเทศจีนกันอย่างแพร่หลาย ศาสนาพุทธนั้นถูกถ่ายทอดมายังประเทศญี่ปุ่นอย่างชัดเจนเมื่อปีคริสตศักราช 552 หลักจาก ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีวิธีคิดแตกต่างไปจากลัทธิชินโต แม้ว่าศาสนาพุทธและลัทธิชินโตนั้นมีพิธีการที่ต่างกันอยู่มาก แต่ก็มีผู้ที่นับถือศาสนานี้เพิ่มขึ้น ดังนั้นทางรัฐบาลญี่ปุ่นแทนที่จะปฏิเสธการนับถือศาสนาพุทธ แต่กลับเลือกที่จะรับเข้ามาแทน คำว่า "พุทธ" , "กฏหมาย"และ"นักบวช" ได้ถูกยอมรับบันทึกลงใน รัฐธรรมนูญ มาตรา 17 ในปี 604 หรือประมาณ 100ปีก่อน และในปีคริสตศักราช701 ก็ถูกบัญญัติไว้ในประมวลกฏหมาย ไทโฮ เช่นกัน

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ศาสนาพุทธก็ได้แทรกซึมเข้าไปอยู่ในสังคมคนญี่ปุ่นมากขึ้น ครอบครัวของตระกูลท้องถิ่นบางแห่งก็หันมานับถือศาสนาพุทธ ทิ้งความเชื่อทางลัทธิชินโตเก่าๆไป ความน่าเชื่อถือของลัทธิชินโตลดลดและทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นเกิดความหวั่นวิตกว่า ความมั่นคงของประเทศจะอ่อนกำลังลง จึงพยายามที่จะรวมทั้งสองศาสนานี้ ซึ่งก็คือ "ทฤษฏีฮงจิซุยจักคุ" หรือ การรวมชินโตและศาสนาพุทธเข้าด้วยกัน

ลัทธิชินโตคือ ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่และ ศาสนาพุทธ เวลาหลังความตาย

ศาสนาพุทุทฤษฏี "ฮงจิซุยจักคุ"อธิบายไว้ว่า พระพุทธเจ้าอาศัยอยู่บนสวรรค์ แต่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกนี้ ส่วนจักรพรรดินั้นคือ พระพุทธเจ้าที่มาเกิดบนโลกมนุษย์ กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนที่มาเกิดยังโลกมนุษย์นั้น มีพระจักรพรรดิเป็นเทพเจ้าสูงสุดในลัทธิชินโตที่คอยปกป้องคุ้มครอง และหลังจากที่ทุกคนตายแล้วก็จะไปยัง "โลกหน้า" จะมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้ปกป้องคุ้มครอง เรียกว่า "การผสานความคิดระหว่างชินโตและศาสนาพุทธ" ซึ่งความหมายก็คือการหลอมรวมลัทธิชินโตและศาสนาพุทธให้เป็นหนึ่งเดียว แนวคิดนี้ได้รับความนิยมมากที่สุดในสมัยเฮอัน(ปี794-1185) ซึ่งภายในศาลเจ้านั้นก็จะมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นของศาสนาพุทธตั้งอยู่

ความคิดนี้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งแต่ เทพเจ้าในลัทธิชินโตของประเทศญี่ปุ่นก็เป็นเพียงแค่ผู้ที่คอยดูแลชีวิตประจำวันของผู้คน ดังนั้น ศาลเจ้าจะไม่มีงานศพและสุสานอยู่ อีกด้านหนึ่ง ศาสนาพุทธคือชีวิตหลังความตายที่ได้รับการดูแล ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิ หรือ คนธรรมดาก็ตาม หลังจากที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นจะได้รับการดูแลจากพระพุทธเจ้าบนสรวงสวรรค์ ดังนั้น ในวัดของศาสนาพุทธจะมีหลุมฝังศพตั้งอยู่ เพื่อเป็นการทำบุญให้คนตาย

แนวคิด การรวมชินโตและศาสนาพุทธเข้าด้วยกันนี้เกิดขึ้น และหลังจาก ญี่ที่ปุ่นได้มีการปฎิรูปเกิดขึ้น รัฐบาลได้มีการใช้ รูปแบบ "การปฎิรูปเมจิ" ในปี 1868 แต่ว่า หลังจากที่มีการ ""ปฎิรูปเมจิ"ขึ้น ประเทศญี่ปุ่นกลายเป็นลัทธิชาตินิยมที่แข็งแกร่ง ลัทธิชินโตถูกแยกออกจากศาสนาพุทธ ลัทธิชินโตจึงเป็นเพียงศาสนาเดียวที่ถูกเลือกให้เป็นศาสนาประจำชาติ

ศาสนาพุทุกว่า1000ปี ที่มีการรวมศาสนาชินโตและศาสนาพุทธเข้าด้วยกัน ทำให้มีการนับถือกันมากขึ้น ทั้งสองศาสนานี้จึงกลายมาเป็นหนึ่งในการใช้ชีวิตและวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่ารัฐบาลจะกำหนดให้แบ่งออกเป็นสองศาสนาก็ตาม เป็นสิ่งที่ผู้คนไม่สามารถแยกออกจากกันได้เลย สำหรับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นนั้นพิธีที่สำคัญที่สุดก็คือการไปไหว้พระขอพรในวันขึ้นปีใหม่ แต่ สำหรับโลกหลังความตายแล้วก็คือการจัดงานศพตามพิธีของพุทธศาสนานั้นเอง by Noboru

ชินโต wikipedia

ศาสนาพุทธในประเทศญี่ปุ่น wikipedia


วัฒนธรรมญี่ปุ่น

หม้อความรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่น nipponnotsubo にっぽんの壷

右上大型広告
Custom Search
Copyright © 2011 Nipponnotsubo.Inc.
All Right Reserved.
nipponnotsubo@gmail.com
nipponnotsubo@hotmail.com